| Voice หมายถึงวิธีพูด Active Voice หมายถึงรูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้กระทำหรือแสดงกริยานั้นโดยตรง เช่น
The dog bit the boy. สุนัขกัดเด็กชาย ( สุนัขเป็นประธานผู้กระทำโดยตรง และเด็กชายเป็นกรรม) Dara will present her research at the conference. Susan is cooking dinner. They are going to build a new house soon.
Passive Voice หมายถึงรูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยานั้นโดยผู้อื่น
หลักการใช้ Passive Voice มีดังนี้ |
- ให้ความสำคัญกับกรรม ( object ) ของประโยคหรือสิ่งที่ถูกกระทำมากกว่าประธาน หรือไม่สนใจว่าใครทำแต่สนใจผลที่เกิดขึ้น เช่น
Your bicycle has been damaged. รถจักรยานของคุณถูกทำเสียหาย ( ประโยคนี้ไม่สนใจว่าใครเป็นคนทำ สนใจแต่เพียงว่ามีการเสียหายเกิดขึ้น เช่นเดียวกับประโยคต่อไป) Rules are made to be broken. ( by ? ) Police are being notified ( by? ) that three prisoners have escaped. Everything will have been done by Tuesday.
- ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงผู้กระทำ เนื่องจากรู้กันอยู่แล้ว
The thieves were all arrested . ( เป็นทั่รู้กันอยู่ว่าผู้จับน่าจะเป็นตำรวจ ) English is spoken here. ( ผู้ที่พูดคือคนโดยทั่วไป )
- เมื่อไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ
Printing was invented in China. ( ผู้คิดค้นเป็นใครไม่ทราบ )
การทำ Active Voice ให้เป็น Passive Voice |
I. ประโยคที่มีกรรมตัวเดียว ( Direct Object )
- เอากรรมของประโยคขึ้นมาเป็นประธาน
- ใช้ verb to be ให้ถูกต้องตามประธาน
- กริยาแท้ในประโยคให้เปลี่ยนเป็นช่อง 3 ( past participle )
- เอาประธานของประโยค Active ไปเป็นกรรมหลัง by
|
เช่น
The boy was bitten by the dog. ( เอากรรมคือเด็กชายขึ้นมาเป็นประธาน ) Research will be presented by Dara at the conference. Dinner is being cooked by Susan. A new house is going to be built . ( by them )
หมายเหตุ ผู้กระทำในประโยค Passive ที่เป็น phrase " by the......" อาจจะละไว้ก็ได้
สรุปการใช้ประโยค Passive Voice ของ Tenses ต่างๆ
Tenses | ประธาน |
กริยาช่วย
| Past Participle |
เอกพจน์ | พหูพจน์ |
Present | The car/cars | is | are | designed. |
Present perfect | The car/cars | has been | have been | designed. |
Past | The car/cars | was | were | designed. |
Past perfect | The car/cars | had been | had been | designed. |
Future | The car/cars | will be | will be | designed. |
Future perfect | The car/cars | will have been | will have been | designed. |
Present progressive | The car/cars | is being | are being | designed. |
Past progressive | The car/cars | was being | were being | designed. |
II. ประโยคที่มีกรรมตรง และกรรมรอง ( Direct & indirect object)
เมื่อประโยค Active มีกรรม 2 ตัวคืือ กรรมตรง ( Direct Object ) = สิ่งของ กรรมรอง ( Indirect object ) = บุคคล เมื่อจะเปลี่ยนเป็น Passive นิยมเอากรรมรอง คือบุคคลขึ้นเป็นประธาน ถ้าจะเอากรรมตรงเป็นประธานก็ได้ แต่ต้องใส่บุพบท to ข้างหน้ากรรมรองที่เหลืออยู่ด้วย เช่น
Active:The teacher gave me a book. Passive: I was given a book by the teacher. ( กรรมรองเป็นประธาน ) Passive : A book was given to me by the teacher. ( กรรมตรงเป็นประธาน )
Active: My father gave ten dollars to my sister. Passive : My sister was given ten dollars by my father. ( กรรมรองเป็นประธาน ) Passive : Ten dollars were given to my sister by my father. ( กรรมตรงเป็นประธาน )
Active: The guide will show you the museum. Passive: You will be shown the museum by the guide. ( กรรมรองเป็นประธาน ) Passive: The museum will be shown to you by the guide. ( กรรมตรงเป็นประธาน )
ตัวอย่างกริยาที่มีกรรมได้ 2 ตัวได้แก่
give | answer | show | tell |
send | buy | call | teach |
ask | sell | write | lend |
III คำกริยาที่ไม่สามารถทำให้เป็นประโยค Passive ได้คือ
กริยาที่ไม่สมบูรณ์ด้วยตัวเองซึ่งเราเรียกว่า Linking verbs ( Copular Verbs) เป็นคำกริยาที่ ต้องมีส่วนสมบูรณ์ ( complement ) เข้ามาช่วยจึงจะได้ความหมายสมบูรณ์โดยไม่ต้องมีกรรม คำเหล่านี้ได้แก่
be | keep | sound | get | prove |
seem | stay | smell | go | turn |
appear | look | taste | come | turn out |
remain | feel | become | grow | end up, wind up |
เช่น
Active voice : He became a successful business man. จะเปลี่ียนเป็น A successful business man was become by him. ไม่ได้
ตัวอย่างของประโยคที่คำกริยาเป็น linking verb เช่น
You look lovely. My hand feel cold. That sounds good to me. It smells funny in this room.
IV ใช้ get แทน be ในประโยค Passive ( ในการใช้อย่างไม่เป็นทางการ )
คำกริยาต่อไปนี้ อาจใช้กับ get แทน verb to be
tire | dress | upset | invite | pay | do | marry,divorce |
hurt | accustom | confuse | bore | hire | disgust | stuck |
lose | worry | drink | pack | fire | engage | hit |
He was lost = He got lost. She wasn't invited = She didn't get invited. They were married last year. = They got married last year. I didn't stay for the end of the movie because I got bored. There was an accident, but luckily nobody got hurt.
การใช้ประโยคโดยทั่วไปจะใช้เป็น Active Voice และหลีกเลี่ยงการใช้ Passive เท่าที่จะทำได้ แต่หากจะมีการใช้ Passive Voice ก็มักจะใช้ในการเขียนเอกสารที่เป็นทางการ ข่าว และรายงาน ทางวิทยาศาสตร์.
เช่น ในข่าวในหนังสือพิมพ์
The woman was killed at. . . . The boy was struck by. . . ." President Kennedy was killed. ( ไม่ใช้ Oswald killed President Kennedy.) It was reported that. . . . It was recommended that. . . .. It is reported that...... This letter will confirm. . . . ( ไมใช่ I write this letter to confirm. . . . ) He was jailed for three months.
ในรายงานการศึกษาวิจัย ซึ่งผู้อ่านจะสนใจผลมากกว่าสนใจผู้กระทำ
It can be seen that....... Heart disease is considered the leading cause of death in the United States The interviews were conducted in groups. The sample was weighed to find its dry weight .
Active and Passive Voice Exercise
Rewrite the following sentences so that the verbs will be in the active voice.
1. We are taught grammar by Ms Sullivan.
2. He was praised by the teacher.
3. The injured were taken to the hospital by the firemen.
4. The town was destroyed by an earthquake.
5. The teacher was pleased with the boy’s work.
6. The building was damaged by the fire.
7. By whom were you taught French?
8. You will be given a ticket by the manager.
9. The streets were thronged with spectators.
10. We will be blamed by everyone.
11. The trees were blown down by the wind.
12. The thieves were caught by the police.
13. The letter was posted by Alice.
14. We were received by the hostess.
15. The snake was killed with a stick.
16. The minister was welcomed by the people.
17. He was found guilty of murder.
18. This house was built by John Mathews in 1991.
Answers
1. Ms Sullivan teaches us grammar.
2. The teacher praised him.
3. The firemen took the injured to the hospital.
4. An earthquake destroyed the town.
5. The boy’s work pleased the teacher.
6. The fire damaged the building.
7. Who taught you French?
8. The manager will give you a ticket.
9. Spectators thronged the streets.
10. Everyone will blame us.
11. The wind blew down the trees.
12. The police caught the thieves.
13. Alice posted the letter.
14. The hostess received us.
15. They/somebody killed the snake with a stick.
16. The people welcomed the minister.
17. They found him guilty of murder.
18. John Mathews built this house in 1991.
- See more at: http://www.englishpractice.com/grammar/active-passive-voice-exercise-3/#sthash.W9SroBPw.dpuf
Nouns ( คำนาม ) Types ( ชนิดของคำนาม )
คำนาม ( Nouns ) หมายถึงคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งต่างๆ สถานที่ คุณสมบัติ สภาพ อาการ การกระทำ ความคิด ความรู้สึก ทั้งที่มีรูปร่างให้มองเห็น และไม่มีรูปร่าง การแบ่งคำนามสามารถจำแนกได้หลายแบบแล้วแต่ตำรา เท่าที่รวบรวมนำเสนอในที่นี้มี 4 แบบ คือ
แบบที่ 1 แบ่งคำนามเป็น 2 ประเภท แบบที่ 2 แบ่งคำนามเป็น 3 ประเภท แบบที่ 3 แบ่งคำนามเป็น 4 ประเภท แบบที่ 4 แบ่งคำนามเป็น 7 ประเภท
ซึ่ง ใน 7 ประเภทนี้ 3 ประเภทสุดท้ายได้แก่ material nouns, concrete nouns และ mass nouns อาจจัดอยู่ในกลุ่ม common nouns ได้ดังนี้ |
2 ประเภท
|
3 ประเภท
|
4 ประเภท
|
7 ประเภท
|
Common Nouns Proper Nouns | Common Nouns Proper Nouns Abstract Nouns | Common Nouns Proper Nouns Abstract Nouns Collective Nouns | 1. Common Nouns 2. Proper Nouns 3. Abstract Nouns 4. Collective Nouns 5. Material Nouns 6. Concrete Nouns 7. Mass Nouns |
1.Common Noun (นามทั่วไป)
เป็นคำนามที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ทั่วๆไป ความคิด ( person, animal, place, thing, idea ) โดยไม่เฉพาะเจาะจง กล่าวโดยสรุปคือ คำนามทั้งหลายที่ไม่ใช่ proper nouns คือ common nouns เช่น
สิ่งของ boy, sign, table, hill, water, sugar, atom, elephant สถานที่ city, hill, road, stadium, school,company เหตุการณ์ revolution, journey, meeting ความรู้สึก fear, hate, love เวลา year, minute, millennium
- Common Nouns เป็นได้ทั้ง นามนับได้ (Countable) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable )
Countable Nouns ( นามนับได้ ) สามารถอยู่ทั้งในรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์ มีตัวตน เช่น dog, man, coin , note, dollar, table, suitcase ไม่มีตัวตน เช่น day, month, year, action, feeling Uncountable Nouns (นามนับไม่ได้ ) หรือ Mass Nouns อยู่ในรูปเอกพจน์ เท่านั้น มีตัวตน เช่น furniture, luggage, rice, sugar , water ,gold ไม่มีตัวตน เช่น music, love, happiness, knowledge, advice , information
|
Common countable
|
Common uncountable
|
indefinite(ไม่เจาะจง)
|
definite(เจาะจง)
|
indefinite(ไม่เจาะจง)
|
definite(เจาะจง)
|
Singular
|
a cow
|
the cow
|
milk
|
the milk
|
plural
|
cows
|
the cows
|
-
|
-
|
- Common Nouns จะไม่ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter ) ยกเว้นเป็นคำขึ้นต้นของประโยค ตัวอย่างTher are many children on the beach. Children love to swim.
2.Proper Nouns ( นามเฉพาะ ) จะต้องขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของประโยค
- เป็นคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะของ Common Noun เช่น
ชื่อคน (Person Name) เช่น Somsak , Tom, Daeng ชื่อสถานที่ ( Place Name) เช่น Australia,Bangkok,Sukhumvit Road, Toyota ชื่อบอกระยะเวลา (Time name ) เช่น Saturday, January, Christmas
- Proper Nouns จะต้องเขียนขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter )
- Proper Nouns ปกติจะไม่มี determiner นำหน้า นอกจากอยู่ในรูปของพหูจน์ เช่น the Jones ( ครอบครัวโจนส์ )
the United States, the Himalayas แต่อย่างไรก็ดีมีข้อยกเว้นของคำนามที่ไม่ได้อยู่ในรูปพหูพจน์ เช่น The White House, the Sahara ( ทะเลทราย ), the Pacific ( Ocean ), the Vatican, the Kremlin ( ดูรายละเอียดจากเรื่องการใช้ articles – the )
- เปรียบเทียบระหว่าง common nouns และ proper nouns
Common Nouns | Proper Nouns |
dog | Lassie ( ชื่อของสุนัข ) |
boy | Jack ( ชื่อของเด็กชาย) |
car | Toyota ( ชื่อยี่ห้อรถ ) |
month | January ( ชื่อของเดือน) |
road | Sukhumvit ( ชื่อถนน ) |
university | Chulalongkorn ( ชื่อมหาวิทยาลัย) |
ship | U.S.S. Enterprise ( ชื่อเรือ ) |
country | Thailand (ชื่อประเทศ ) |
คำนามประเภทอื่นมีคำอธิบายดังนี้
3.Abstract Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เป็นนามที่บอกลักษณะ สภาวะ อาการ เมื่อแปลเป็นภาษาไทยมักจะมีคำว่า ความ การนำหน้าอยู่ด้วยรวมทั้งชื่อศิลปวิทยาการต่างๆ
Abstract Nouns จะมีที่มาจากคำกริยา ( verb) ,คำคุณศัพท์ ( adjective) และ คำนาม ( noun) ด้วยกันเองบ้าง เช่น
Abstract Nouns ที่มาจากคำกริยา | Abstract Nouns ที่มาจากคำคุณศัพท์ | Abstract Nouns ที่มาจากคำนาม |
decision - to decide | beauty - beautiful | infancy - infant |
thought - to think | poverty - poor | childhood - child |
Imagination - to imagine | vacancy - vacant | friendship - friend |
speech - to speak | happiness - happy | |
growth - to grow | wisdom - wise | |
4.Collective Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่เป็นหมวดหมู่ กลุ่มของคน สัตว์ สิ่งของ เช่น family , class, company, committee, cabinet, audience, board, group, jury, public, society, team, majority orchestra, party เป็นต้นรวมทั้ง a flock of birds, a herd of cattle ,a fleet of ships เป็นต้น อาจจะใช้คำกริยารูปของเอกพจน์หรือพหูพจน์ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้ ว่าต้องการให้เป็นหนึ่งเดียวหรือเป็นแต่ละส่วน แต่คำนามยังเป็นรูปเดิม เปลี่ยนแต่รูปกริยา เช่น
เอกพจน์ : The average British family has 3.6 members. ครอบครัวชาวอังกฤษ (ครอบครัวหนึ่ง ) มีสมาชิกโดยเฉลี่ย 3.6 คน พหูพจน์: The family are always fighting among themselves. ครอบครัวนี้มักจะทะเลาะกันเอง ( ประโยคนี้มีความหมายว่าสมาชิกในครอบครัวต่างทะเลาะกันเองทั้งครอบครัว จึงใช้กริยาเป็นพหูพจน์ )
เอกพจน์: The committee has reached its decision. คณะกรรมการได้ผลการตัดสินใจ ( ของคณะกรรมการรวมกันทั้งคณะ) พหูพจน์: The committee have been arguing all morning over what they should do. คณะกรรมการเถียงกันตลอดทั้งเช้าว่าควรจะทำ อะไร ( กรรมการแต่ละคนนับเป็น 1 หน่วย ทั้งคณะจึงเป็นพหูพจน์ )
Collective noun บางคำมีความหมายเป็นพหูพจน์เท่านั้น เช่น people, police, cattle
นอกจากนี้ยังมีรูปแบบ คำวลีผสมด้วย of เพื่อเน้นให้ความเป็นหมู่หรือคณะให้ชัดเจนขึ้น รูปแบบคือ Collective noun + of + commonnoun ตัวอย่างเช่น
a flock of birds | a group of students |
a flock of sheep | a pack of cards |
a herd of cattle | a bunch of flowers |
a fleet of ships | a kilo of pork |
5.Concrete Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่มีรูปร่างสามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เช่น book , chair, water, oil , ice cream เป็นทั้งนามนับได้ และนับไม่ได้ มีลักษณะตรงกันข้ามกับ abstract nouns.
6.Material Nouns
- เป็น common nouns ชนิดหนึ่งซึ่งมีรูปร่าง อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน แต่นับไม่ได้ เช่น
ธาตุ: iron, gold, air, copper สารธรรมชาติ, สังเคราะห์: stone, cotton, brick, paper, cloth ของเหลวต่างๆ: water, coffee, wine, tea, milk อาหาร: rice, bread, sugar, pork, fish, butter, fruit, salad
- แสดงความมากน้อยด้วยปริมาณ (quantity) เช่น
a bowl of rice two boxes of cereal five bottles of beer a cup of tea three bars of soap | two glasses of water a loaf of bread a slice of pizza a piece of paper a quart of milk |
แต่ในการใช้ material nouns ส่วนมากจะพูดสั้นๆ เช่น ในประโยคเกี่ยวกับ tea ( ชา )
พูดในร้านอาหาร : I want some tea. ฉันขอชาหน่อยใ( ในที่นี้หมายถึง I want a cup of tea. ) พูดในซูเปอร์มาร์เก็ต: I want some tea. ในที่นี้ผู้พูดหมายถึง I want a packet of tea. พูดในร้านอาหารซึ่งมีชาหลายชนิด หลายยี่ห้อให้เลือก เช่น ชาจีน ชาเขียว ชาญี่ปุ่น ชาอู่หลง เป็นต้น : I like their teas. หมายถึง I like their selection of teas. ( ฉันชอบชาหลากหลายชนิดที่มีให้เลือกของร้าน )
7,Mass nouns
เป็นคำนามสิ่งของที่นับไม่ได้ ทั้งมี และไม่มีตัวตน ( uncountable nouns และ abstract nouns ) เช่น sugar, iron , butter, beer, money, blood, furniture, vehicle, courage,gratitude, mercy , accuracy มีลักษณะดังนี้ คือ
- จะไม่อยู่ในรูปพหูพจน์
- ไม่ใช้ a , an , the นำหน้า ถ้าใช้เป็นการทั่วไป determiners ที่ใช้นำหน้าคือ some และ any เช่น
Blood is thicker than water. เลือดข้นกว่าน้ำ ( uncountable ) Depression often affects women immediately following the birth of their babies ผู้หญิงมักมีอาการซึมเศร้าตามมาหลังคลอดบุตรทันที ( abstract nouns ) He dropped some money on the floor. เขาทำเงินหล่นลงบนพื้น
หมายเหตุ * บางตำรา mass nouns คือmaterial nouns + concrete nouns และแยก abstract nouns ออกเป็น nouns อีกประเภทหนึ่ง *คำนามบางคำตามความคิดของคนไทยน่าจะเป็นสิ่งของที่นับได้เช่น furniture, luggage ,equipment, money แต่ในภาษาอังกฤษ จะมองเป็นของที่นับไม่ได้ จะนับได้ต่อเมื่อแยกเป็นส่วนย่อย เช่น furniture แยกเป็น table, chair เป็นต้น
หากสรุปโดยคิดว่าคำนามมี 7 ประเภท การแยกกลุ่มจะเป็นไปตามตารางข้างล่างนี้ โดยตัวอย่างในบางคำนามจะซ้ำกับในคำนามอื่น เช่น water จะเป็นทั้ง concrete nouns และ material nouns และ honesty เป็นทั้ง mass nouns และ abstract nouns
Nouns
|
ประเภทคำนาม
|
ประเภทย่อย
|
ประเภทย่อย
|
ตัวอย่าง
|
Proper nouns
| | | John, London |
Common nouns
|
Countable nouns
|
Concrete
| chair,book,student |
Collective nouns
| two flocks of birds ,people |
Uncountable Nouns
|
Concrete nouns
| ice cream,oil,water |
Mass Nouns
| furniture,money,honesty |
Material nouns
| water,bread,oxygen,gold |
Abstract nouns
| honesty, friendship,honesty |
ตาราง การใช้ articles นำหน้าคำนาม ซึ่งในที่นี้เป็นหลักทั่วไปไม่รวมข้อยกเว้นต่างๆ (ดูรายละเอียดข้อยกเว้นได้ในเรื่อง Articles )
|
Common Nouns
|
Proper Nouns
|
Countable Nouns
|
Uncountable Nouns
|
Singular
|
Plural
|
Singular
|
Plural
|
Singular
|
Plural
|
ไม่มี article (John)
|
the (the Jones)
|
ชี้เฉพาะ (definite )
|
the (the boy )
|
the (the boys)
|
the (the water )
|
-
|
ไม่เฉพาะ (indefinite )
|
a/an (a tiger)
|
ไม่มี article ( tiger)
|
ไม่มี article (water)
|
-
|
-
|
|
The Verb
Recognize a verb when you see one.
Verbs are a necessary component of all sentences. Verbs have two important functions: Some verbs put stalled subjects into motion while other verbs help to clarify the subjects in meaningful ways. Look at the examples below:
My grumpy old English teacher smiled at the plate of cold meatloaf.
My grumpy old English teacher = stalled subject; smiled = verb.
The daredevil cockroach splashed into Sara's soup.
The daredevil cockroach = stalled subject; splashed = verb.
Theo's overworked computer exploded in a spray of sparks.
Theo's overworked computer = stalled subject; exploded = verb.
The curious toddler popped a grasshopper into her mouth.
The curious toddler = stalled subject; popped = verb.
Francisco's comic book collection is worth $20,000.00.
Francisco's comic book collection = stalled subject; is = verb.
The important thing to remember is that every subject in a sentence must have a verb. Otherwise, you will have written a fragment, a major writing error.
Consider word function when you are looking for a verb.
Many words in English have more than one function. Sometimes a word is a noun, sometimes a verb, sometimes a modifier. As a result, you must often analyze the job a word is doing in the sentence. Look at these two examples:
Potato chips crunch too loudly to eat during an exam.
The crunch of the potato chips drew the angry glance of Professor Orsini to our corner of the room.
Crunch is something that we can do. We can crunch cockroaches under our shoes. We can crunch popcorn during a movie. We cancrunch numbers for a math class. In the first sentence, then, crunch is what the potato chips do, so we can call it a verb.
Even though crunch is often a verb, it can also be a noun. The crunch of the potato chips, for example, is a thing, a sound that we can hear. You therefore need to analyze the function that a word provides in a sentence before you determine what grammatical name to give that word.
Know an action verb when you see one.
Dance! Sing! Paint! Giggle! Chew! What are these words doing? They are expressing action, something that a person, animal, force of nature, or thing can do. As a result, words like these are called action verbs. Look at the examples below:
Clyde sneezes with the force of a tornado.
Sneezing is something that Clyde can do.
Because of the spoiled mayonnaise, Ricky vomited potato salad all day.
Vomiting is something that Ricky can do—although he might not enjoy it.
Sylvia always winks at cute guys driving hot cars.
Winking is something that Sylvia can do.
The telephone rang with shrill, annoying cries.
Ringing is something that the telephone can do.
Thunder boomed in the distance, sending my poor dog scrambling under the bed.
Booming is something that thunder can do.
If you are unsure whether a sentence contains an action verb or not, look at every word in the sentence and ask yourself, "Is this something that a person or thing can do?" Take this sentence, for example:
During the summer, my poodle constantly pants and drools.
Can you during? Is during something you can do? Can you the? Is there someone theing outside the window right now? Can yousummer? Do your obnoxious neighbors keep you up until 2 a.m. because they are summering? Can you my? What does a person do when she's mying? Can you poodle? Show me what poodling is. Can you pant? Bingo! Sure you can! Run five miles and you'll be panting. Can you and? Of course not! But can you drool? You bet—although we don't need a demonstration of this ability. In the sentence above, therefore, there are two action verbs: pant and drool.
Know a linking verb when you see one.
Linking verbs, on the other hand, do not express action. Instead, they connect the subject of a verb to additional information about the subject. Look at the examples below:
Mario is a computer hacker.
Ising isn't something that Mario can do. Is connects the subject, Mario, to additional information about him, that he will soon have the FBI on his trail.
During bad storms, trailer parks are often magnets for tornadoes.
Areing isn't something that trailer parks can do. Are is simply connecting the subject, trailer parks, to something said about them, that they tend to attract tornadoes.
After receiving another failing grade in algebra, Jose became depressed.
Became connects the subject, Jose, to something said about him, that he wasn't happy.
A three-mile run seems like a marathon during a hot, humid July afternoon.
Seems connects the subject, a three-mile run, with additional information, that it's more arduous depending on the day and time.
At restaurants, Rami always feels angry after waiting an hour for a poor meal.
Feels connects the subject, Rami, to his state of being, anger.
The following verbs are true linking verbs: any form of the verb be [am, were, has been, are being, might have been, etc.], become, andseem. These true linking verbs are always linking verbs.
Then you have a list of verbs with multiple personalities: appear, feel, grow, look, prove, remain, smell, sound, taste, and turn. Sometimes these verbs are linking verbs; sometimes they are action verbs. Their function in a sentence decides what you should call them.
How do you tell when they are action verbs and when they are linking verbs? If you can substitute am, is, or are for the verb and the sentence still sounds logical, you have a linking verb on your hands. But if, after the substitution, the sentence makes no sense, you are dealing with an action verb. Here are some examples:
Chris tasted the crunchy, honey-roasted grasshopper.
Chris is the grasshopper? I don't think so! In this sentence then, tasted is an action verb.
The crunchy, honey-roasted grasshopper tasted good.
The grasshopper is good? You bet. Roast your own!
I smell the delicious aroma of the grilled octopus.
I am the delicious aroma? Not the last time I checked. Smell, in this sentence, is an action verb.
The aroma of the grilled octopus smells appetizing.
The aroma is appetizing? Definitely! Come take a whiff!
The students looked at the equation until their brains hurt.
The students are the equation? Of course not! Here, looked is an action verb.
The equation looked hopelessly confusing.
The equation is confusing? Without a doubt! You try it.
This substitution will not work for appear. With appear, you have to analyze the function of the verb.
Godzilla appeared in the doorway, spooking me badly.
Appear is something Godzilla can do—whether you want him to or not.
Godzilla appeared happy to see me.
Here, appeared is connecting the subject, Godzilla, to his state of mind, happiness.
Realize that a verb can have more than one part.
You must remember that verbs can have more than one part. In fact, a verb can have as many as four parts. A multi-part verb has a base or main part as well as additional helping or auxiliary verbs with it. Check out the examples below:
Harvey spilled chocolate milkshake on Leslie's new dress.
Because Harvey is a klutz, he is always spilling something.
Harvey might have spilled the chocolate milkshake because the short dress distracted him.
Harvey should have been spilling the chocolate milkshake down his throat.
exercise
Example : The butterflies ___are_____ in the flowers garden .
1. She____is____ in the house.
2. The dog and the cat ___are___ in the garden.
3. The men ___are____ behind a bush.
4. I ___am____ in my living room with my brother.
5. Carol, Anne and I ___are____ friends.
Nouns ( Subject - Verb Agreement )
ในประโยคภาษาอังกฤษ ประธานของประโยค ( Subject ) และการใช้คำกริยา (Verb ) จะต้องสอดคล้องกัน กล่าวคือ ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ กริยาต้องเป็นเอกพจน์ ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ กริยาต้องเป็นพหูพจน์ ปัญหาสำหรับผู้เรียนคือ ไม่แน่ใจว่าประธานเป็นเอกพจน์หรือพหุพจน์ เช่น |
| government , committee ซึ่งเป็นได้ทั้งเอกพจน์ และพหูพจน์ แล้วแต่การใช้ furniture,money ดูน่าจะเป็นพหูพจน์ แต่ในภาษาอังกฤษคำเหล่านี้เป็นนามนับไม่ได้ มีความหมายเป็นเอกพจน์ police, people ใช้อย่างพหูพจน์เท่านั้น |
เพราะฉะนั้น ผู้เรียนจะต้องทำความเข้าใจเรื่อง nouns รวมทั้งข้อยกเว้นต่างๆให้ถ่องแท้จึงจะสามารถใช้คำกริยาให้สอดคล้อง กับประธานได้อย่างถูกต้อง |
หลักการใช้กริยาให้สอดคล้องกับประธาน
1. ประธานเป็นเอกพจน์ กริยาเป็นเอกพจน์ ประธานเป็นพหูพจน์ กริยาเป็นพหูพจน์
Jane lives in China. เจนอาศัยอยู่ในประเทศจีน The Jones live in France. ครอบครัวโจนส์อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส
2. กรณีมีประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย and โดยปกติถือเป็นพหูพจน์ กริยาจึงอยูในรูปพหูพจน์
Jean and David are moving back to Australia. เจนและเดวิด กำลังจะย้ายกลับไปประเทศออสเตรเลีย
3. กรณีมีประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย and แด่นำมาใช้โดยคิดเป็นหน่วยเดียวกัน ใช้กริยาเป็นเอกพจน์
Bread and butter has been my breakfast for years. ขนมปังและเนยเป็นอาหารมื้อเช้าของฉันมาหลายปีแล้ว Honesty and truth is the best policy. ความซื่อสัตย์และความจริงเป็นนโยบายที่ดีที่สุด Rice and curry is my daughter's favorite food. ข้าวแกงกะหรี่เป็นอาหารโปรดของลูกสาวฉัน
แต่ถ้าผู้พูดคิดว่าแยกกัน ก็จะมีความหมายเป็นพหูพจน์ เช่น Rice and curry are what we have for lunch today. เรามีข้าวและแกงกะหรี่เป็นอาหารกลางวันวันนี้
4. ประธานที่มีคำนามมากกว่า 1 และเชื่อมด้วย and หากเป็นคนหรือสิ่งเดียวกัน จะมี article ที่ประธานตัวหน้าแห่งเดียว หากเป็นคนละคนกันจะมี article ที่คำนามทั้งสอง เช่น
The manager and owner of this restaurant is my friend. ผู้จัดการและเจ้าของร้านอาหารนี้เป็นเพื่อนของฉัน ( คนเดียวกัน ) The manager and the owner of this restaurant are my friends. ผู้จัดการและเจ้าของร้านอาหารนี้เป็นเพื่อนของฉัน ( คนเละคน )
The black and white cat under the table is my cat. แมวขาวดำใต้โต๊ะนั้นเป็นแมวของฉัน ( ตัวเดียว ) The black and the white cat under the table are my cats. แมวขาวและแมวดำใต้โต๊ะนั้นเป็นแมวของฉัน ( 2 ตัว )
5.ประธานที่มีวลีหรือคำขยายต่อไปนี้ต่อท้าย จะใช้กริยาเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์นั้น ต้องยึดการใช้กริยาตามประธานตัวหน้าเป็นหลัก
accompanied by ( พร้อมด้วย ) | in company with ( พร้อมด้วย ) |
along with ( พร้อมด้วย ) | including ( รวมทั้ง ) |
as well as ( เช่นเดียวกับ ) | like ( เช่นเดียวกับ ) |
besides (นอกจาก ) | not ( ไม่ใช่ ) |
but ( ยกเว้น ) | plus ( รวมทั้ง ) |
except ( ยกเว้น ) | together with ( พร้อมด้วย ) |
excluding ( ไม่นับ ) | with ( พร้อมกับ ) |
in addition to ( นอกจาก ) | |
เช่น John together with his colleagues has agreed to work late tonight to get the job finished. จอห์นพร้อมทั้งเพื่อนร่วมงานของเขาตกลงที่จะอยู่ทำงานดึกเพื่อให้งานเสร็จ ( ใช้กริยาตาม John ) Some people including my brother find cricket boring. คนบางคนรวมทั้งน้องชายฉันคิดว่าคริกเก็ต ( เป็นกีฬาที่คล้ายเบสบอลนิยมเล่นในประเทศอาณานิคมอังกฤษเช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ปากีสถาน ) เป็นกีฬาที่น่าเบื่อ ( ใช้กริยาตาม some people)
6, ประโยคหรือวลีที่ขยายประธาน ไม่มีผลต่อการใช้กริยาของประธาน
John, with all his players, was on the field. จอห์นพร้อมด้วยบรรดาผู้เล่นของเขาอยู่บนสนาม ( with all his players ขยายประธานคือ John )Mr. Clark,like our other neighbors,is very helpful. คุณคลาร์คก็ให้ความช่วยเหลือเราดีเหมือนคนอื่นๆ
7.คำต่อไปนี้ถือเป็นเอกพจน์ เมื่อมาเป็นประธานของประโยค ต้องใช้กริยาเอกพจน์เสมอ ได้แก่
anybody | everybody | someone |
anyone | everyone | somebody |
anything | everything | something |
anywhere | everywhere | somewhere |
each + นามเอกพจน์ | either + นามเอกพจน์ | neither +นามเอกพจน์ |
each of + นามพหูพจน์ | either of + นามพหูพจน์ | neither of +นามพหูพจน์ |
nobody | every + นามเอกพจน์ | nothing |
เช่น Is there anybody here who could speak Japanese? มีใครที่นี่พูดภาษาญี่ปุ่นได้บ้าง Each of the lessons takes an hour. บทเรียนแต่ละบทใช้เวลา 1 ชั่วโมง Somebody is in the room. มีใครบางคนในห้อง Neither of my sisters is married. ไม่มีน้องสาวคนไหนของฉันแต่งงานเลย Either of us is to clean up the house after the party tonight. เราคนใดคนหนึ่งต้องทำความสะอาดบ้านหลังงานเลี้ยงคืนนี้
8.ประธานซึ่งเชื่อมด้วยคำต่อไปนี้ กริยาถือตามประธานตัวหลัง
or | neither... nor |
either....or | not only......but also |
เช่น Neither the Priminister nor his representatives are to attend the meeting. ทั้งนายกรัฐมนตรีและผู้แทน ( ของนายก ฯ )ไม่ต้องเข้าร่วมการประชุม Either the teachers or the principal is to blame for the accident. ไม่พวกครูก็ครูใหญ่ต้องรับผิดชอบในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น Not only Jim but also his friends are coming to the party tonight. ไม่เพียงแต่จิมเท่านั้นที่มาร่วมงานเลี้ยง เพื่อนๆของเขาก็มาด้วย หมายเหตุ ในกรณีประธาน 2 ตัว นิยมเอาประธานที่เป็นพหูพจน์ไว้ข้างหลังมากกว่า
9, คำ Indefinite Pronouns ต่อไปนี้ถ้าใช้แทนคำนามนับได้ ถือเป็นพหูพจน์เสมอ
all, both, (a) few, many, several, some
เช่น All were ready to leave the party by midnight. ทั้งหมดพร้อมที่จะออกจากงานเลี้ยงตอนเที่ยงคืน Few were in the audience to see the horrible play. มีคนดูละครห่วยๆนี้อยู่ไม่กี่คน Many were invited to the lunch but only twelve showed up. มีคนไดัรับเชิญรับประทานอาหารกลางวันหลายคน แต่มีคนมาเพียง 12 คน
10.การใช้วลีบอกปริมาณ
1. วลีบอกปริมาณต่อไปนี้ถ้าตามด้วยนามเอกพจน์ต้องใช้ กริยาต้องใช้เอกพจน์ ถ้าตามด้วยนามพหูพจน์กริยาต้องใช้พหูพจน์
a lot of | plenty of | most of | some of |
lots of | all of | none of | ...percent of |
เช่น I think a lot of English wine is too sweet. ฉันคิดว่า ไวน์ของอังกฤษจำนวนมากที่หวานเกินไป ( wine เป็น นามนับไม่ได้มีความหมายเป็นเอกพจน์ A lot of people are in the room, มีคนจำนวนมากในห้อง ( people มีรูปเอกพจน์คือไม่มี s แต่มีความหมายพหูพจน์จึงใช้ are ดูในเรื่อง Nouns -singular/plural
Some of my jewelry is missing. ของประดับมีค่าของฉันหายไปบางชิ้น Some of my friends were at the airport to see me off เพื่อนบางคนไปส่งฉันที่สนามบิน
Ten per cent of the men have lung problems. สิบเปอเซนต์ของผู้ชายมีปัญหาเกี่ยวกับปอด Ten per cent of the money is yours. เงินสิบเปอเซนต์เป็นของคุณ
2. วลีบอกปริมาณต่อไปนี้ใช้กับนามนับได้ที่เป็นพหูพจน์ และกริยาก็ต้องเป็นพหูพจน์ตามด้วยคือ
a number of | many |
a large number of | a good many |
a great number of | a great many |
เช่น A number of students are playing football. นักเรียนจำนวนมากกำลังเล่นฟุตบอล A large number of tourists get lost because of that sign. นักท่องเทียวจำนวนมากหลงทางเพราะป้ายนั้น There are still a large number of problems to be solved. ยังมีปัญหาต้องแก้ไขอีกมาก
11.วลีบอกปริมาณต่อไปนี้ เมื่อใช้กับนามนับไม่ได้ กริยาต้องใช้รูปเอกพจน์ตลอดไป
much | a large number of |
a great deal of | a large amount of |
a good deal of | a large quantity of |
เช่น Although a great deal of progress has been made in the development of spoken communication with computers, there are still a large number of problems to be solved.
หมายเหตุ แต่ the number of ตามด้วยนามพหูพจน์ และใช้กริยาเอกพจน์ เช่น The number of students in the class is limited to twenty. จำนวนของนักเรียนในห้องจำกัดที่ยี่สิบคน
12.ประโยคที่มี who, which , that เป็น Relative Pronoun กริยาของ Relative Pronoun จะใช้รูปของเอกพจน์หรือพหูพจน์ ให้ถือเอาตามคำที่มันแทนซึ่งอยู่ข้างหน้า who, which , that เช่น
He is one of my friends who are millionaires. เขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งของฉัน ( ในหลายๆคน ) ที่เป็นเศรษฐี ( ใช้ are เพราะ who ขยาย my friends )
13.ประธานที่ขึ้นต้นด้วย Infinitive Phrase ( วลีที่นำหน้าด้วย to ) หรือ gerund ( ing ) ถือว่าเป็นเอกพจน์ กริยาต้องเป็นรูปเอกพจน์ตาม เช่น
To see is to believe. ต้องได้เห็นจึงจะเชื่อได้ ( สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น ) To distill a quart a moonshine takes two hours. การกลั่นเหล้าเถื่อน1ควอตใช้เวลา 2 ชั่วโมง Winning the national championship is her most important achievement. การชนะเลิศระดับชาติเป็นความสำเร็จที่สำคัญมากสำหรับเธอ
14.จำนวนเงินหรือมาตราต่างๆ เช่น ถือเป็นเอกพจน์ เช่น
Twenty thousand bahts is too high for this camera. ราคาสองหมื่นบาทสูงเกินไปสำหรับกล้องตัวนี้ Two hundred miles is a long way. สองร้อยไมล์เป็นระยะทางที่ไกลมาก
15.เศษส่วนของคำนามพหูพจน์เป็นพหูพจน์ เศษส่วนของคำนามเอกพจน์เป็นเอกพจน์
Two-thirds of the boys are absent. สองในสามของเด็กชายขาดเรียน Two-thirds of the wall has been painted. สองในสามของฝาผนังได้ทาสีไปแล้ว
16.ชื่อหนังสือหรือบทความเป็นเอกพจน์ เช่น
Gulliver's travels was written by Swift. หนังสือเรื่องการเดินทางของกัลลิเวอร์ เขียนโดยสวิฟต
Tenses
Tense | Active voice | Passive Voice |
Present Simple
| S + V1 | S + is, am, are + V3 |
Present Continuous | S + is, am, are + Ving | S + is, am,are + being + V3 |
Present Perfect | S + have, has + V3 | S + have, has + been + V3 |
Present Perfect Continuous
|
S + have, has + been + Ving
| S + have, has + been + being + V3 |
Past Simple | S + V2 | S + was, were + V3 |
Past Continuous
| S + was, were + Ving |
S + was, were + being + V3
|
Past Perfect | S + had + V3 | S + had+ been + V |
Past Perfect Continuous | S+ had + been + Ving | S+had+been+being+V3 |
Future Simple |
S + will, shall + V1
(to be going to + v1)
|
S + will, shall+ be + V3
( to be going to +be + V3 )
|
Future Continuous | S + will, shall + be+Ving | S + will be + being + V3 |
Future Perfect |
S + will, shall + have + V3
| S + will have + been + V3 |
Future Perfect Continuous
|
S + will, shall + have been + Ving
|
S + will have + been + being + V3
|
| | | |
|